วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คนที่อกหัก

If someone tell you that he can wait forever ,
never believe them.In the word believe there's a 'lie' in it.

ใครบอกว่ารอได้ตลอดไป ?
ไม่จริงค่ะ เมื่อเวลายังเดินวนและโลกยังหมุนไป
คนเราอยู่ได้ไม่นานถึงตลอดไป

ชีวิตสัตว์ประเสริฐของเรามันก็แค่เสี้ยวนึงของโลกใบนี้
ช่วงนึงของชีวิตเราแทบจะไม่มีค่า ต่อโลกใบนี้เลย
เราจึงอย่าได้ถามเลยว่าเกิดมาเพื่ออะไร
และจงอย่าถามตัวเองว่าเกิดมาเพื่อใคร
เพราะถึง
เวลาสุดท้ายคนที่จะนั่งอยู่กับเราก็คือตัวเราเอง

การที่เรารักใครซักคนนั่นหมายความว่าเราต้องรักตัวเองมากๆ
เพราะเค้าจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

จงอย่าพูดว่าจะรอตลอดไป
ให้บอกเค้าว่าจะรอจนกว่าจะหมดใจ ก็เพียงพอ :)


หัวใจคนเราไม่ได้หนักแน่นพอขนาดนั้น
ที่จะรักคนๆนึงจนลืมนึกถึงตัวเอง

ความรักก็เหมือนสกุลเงินมันต้องมีอัตราการแลกเปลี่ยน
ไม่มีใครที่จะรักคนเห็นแก่ตัวได้หรอก

เพราะมนุษย์มีสันดารดิบ สัญชาตญาณเอาตัวรอด
ย่อมรักตัวเองเป็นยอดดี สุดท้ายคนที่คุณจะรักมากที่สุดในชีวิต

 ' ก็คือตัวเอง

ความเหงา

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

สำหรับบางคน . . . ที่บอกตัวเองไม่ได้ว่า
กำลังสุข หรือ เศร้า กับคำว่า . . . "ความรัก"



บางเวลาในชีวิตหนึ่ง . . . โลกกำหนดให้หัวใจรู้จักกับ "ความเหงา"
เพื่อที่วันหนึ่ง . . . ความเหงาจะผลักดัน คนสองคนเข้าหากัน
เพื่อลดช่องว่างให้กันและกัน สร้างคืนวันที่ดี ๆ ร่วมกัน
และเพื่อที่วันหนึ่ง โลกจะแยกให้พวกเขา "จากกัน" . . .
ให้ชีวิตวนกลับสู่ "ความเหงา"


บางเวลาในชีวิตหนึ่ง . . . โลกกำหนดให้หัวใจรู้จัก "ความเหงา"
ด้วยเหตุผลบางอย่าง . . . นั้นคือให้โลกใบนี้ยังคงมีความรัก
ดำเนินต่อความเหงา . . . ทำให้หัวใจสองดวงเชื่อมถึงกันด้วยความคิดถึง



แม้ในยามที่โลก . . . แยกคนทั้งสองให้ห่างกันไป ไกลแสนไกล . . .
ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป . . . ท่ามกลางความโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้เปลือกตาอันมืดมิด ความทรงจำ จะกลับชัดเจนขึ้นเสมอ
ในวันที่ ความเหงาทำให้เราคิดถึง . . .


ความรัก . . . คือ อาวุธชนิดหนึ่ง
ที่เราหยิบมันมาเเล้วค่อย ๆ กรีดใจของตัวเอง อย่างช้าๆ
สุดท้าย . . .ก็มีแต่เราเท่านั้นที่จะเจ็บปวด แค่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยว
ความคิดถึง . . . ได้พาให้ฉันสัมผัสกับความเปลี่ยวเหงา
ได้นำพาฉัน ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความว่างเปล่า และโดดเดี่ยว



ความคิดถึง เศร้า . . . แต่หวาน งดงาม . . . แต่ทุกข์
และเมื่อฉันได้คิดถึงเธอ ขอให้ความคิดถึงของฉัน จงเดินทางไปให้ถึงเธอ
ให้เธอได้รับรู้ถึง ความเศร้าที่แสนหวาน . . . ความงดงามที่เจือรอยทุกข์
และเมื่อนั้น . . .
เธออาจจะมองเห็นฉันได้แย้มยิ้ม อยู่ในหยาดน้ำตา ก็เป็นได้
.
.
.
.
.
.
.
.


บางครั้ง ความรัก ก็เข้ามาหาเรา เพื่อให้เราเรียนรู้ มิใช่ให้เราครอบครอง
ไม่ผิดหากจะรักคนมีเจ้าของ แต่จะผิดหากเข้าไปทำหน้าที่ซ้ำซ้อนคนอีกคน
หน้าที่ของความรัก คือการเดินไปมอบความรัก และยืนเฉยๆเพื่อรับมัน ไม่ใช่การดิ้นรนเพื่อให้ได้มา
ในห้วงรัก การถูกรัก มันสุขใจ การมอบความรักมันอิ่มเอม และเมื่อได้รับการปฏิเสธ มันทรมาน
ความรัก จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดการถ่ายเทพลังอันอ่อนโยนของคนสองคน
ความรัก มิใช่การเข้าไปเป็นชีวิตเขา แต่คือการเข้าไปอยู่ข้างๆชีวิตเขา
คนบางคนเหมาะที่เกิดมาเพื่อให้เรารัก แต่ไม่เหมาะที่จะร่วมชีวิตด้วย
ความรัก ระยะแรกทำให้ร่างกายหลั่งสารกระตือรือร้น ทำให้มนุษย์ทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งความรัก
แฟน ก็คือ เพื่อนคู่คิด ที่ก้าวไปด้วยกันในวันข้างหน้า
ในวันที่ความรักคงที่ สารกระชุ่มกระชวยงดทำงาน สิ่งเดียวที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดไป คือ ความเข้าใจล้วนๆ
ความห่างไกล มันทรมาน เวลาเจอกันจึงหอมหวาน และเป็นความทรงจำที่เก็บไปนั่งเพ้อฝันได้ในวันจาก
บุคคลไม่พึงประสงค์สำหรับทุกคู่รัก มักจะเดินทางมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
ผู้ชายแสดงความรักด้วยการกระทำ ขณะที่ผู้หญิงอยากรู้ว่ารัก จากคำพูด
............................................................
................................................
.........................................
......................................
..................................
..............................
......................................
............................
.......................................
เคยไหม..ที่คุณออน msn เพื่อที่อยากจะคุยกับใครซักคน
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีใครตั้ง Busy ไว้เพื่อที่จะคุยกับคุณคนเดียว
เคยไหม..ที่คุณรอ msg จากใครบางคนที่คุณคิดถึง
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีคนส่ง msg ให้คุณเพราะเค้าแคร์คุณมากกว่าใคร
เคยไหม..ที่คุณคิดอยากจะชวนเค้าไปเที่ยวไหนต่อไหนแต่ไม่กล้าชวน
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีคนชวนคุณไปไหนต่อไหนแต่คุณไม่ไปด้วย
เคยไหม..ที่คุณแอบชอบใครคนหนึ่งมากมาย
แต่คุณรู้ไหม..ว่าที่มีใครเค้าทำอะไรให้คุณนั้นน่ะ เพราะเค้าชอบคุณนะ
เคยไหม..ที่คุณฟังเพลงแล้วคิดถึงใครคนหนึ่ง
แต่คุณรู้ไหม..เค้าส่งเพลงบอกรักให้คุณแต่คุณกลับไม่ใส่ใจ
เคยไหม..ที่คุณเคยชอบใคร แต่เค้ากลับไม่ชอบคุณ
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีคนที่รอคุณแต่คุณกลับเดินผ่านเค้าไป
เคยไหม..ที่คุณทำอะไรซักอย่างแล้วคิดถึงใครคนหนึ่ง
แต่คุณรู้ไหม..ว่ามีใครคนหนี่งคิดถึงคุณทุกเวลาไม่ว่าจะทำอะไร ....
  

ลองคิด ดูนะว่านายจะช้ำอยู่กับความรักที่ผ่านมาหรือพร้อมจะ เดินหน้าเพื่อตัวเอง


วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แฟชั่น

ชั่น

แฟชั่น เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า fashion ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำนี้ว่า "สมัยนิยมหรือวิธีการที่นิยมกันทั่วไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง" เป็นการยอมรับจนเกิดเป็นค่านิยม มีกระบวนการเกิดภาษาใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากคำว่า “วิวัฒนาการ” ที่ทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วินระบุไว้ว่าวิวัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้เวลายาวนานและสามารถถ่ายทอดสิ่งนั้นไปสู่ลูกหลานได้ โดยมากแล้วคำว่าแฟชั่น มักมีความหมายเกี่ยวกับการแต่งตัว     
                                                                                


ประวัติ
เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่มุนษย์ต้องการในการดำรงชีวิตเพื่อปกปิดร่างกายและให้ความอบอุ่น ความเจริญของมนุษย์ทำให้เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เสื้อผ้ายังบ่งบอกถึงลักษณะของผู้สวมใส่ได้ด้วย เช่น ฐานะ, เชื้อชาติ, ฯลฯ

การพัฒนาของแฟชั่นในแต่ละยุคสมัยแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น การเมือง, เศรษฐกิจ, ภูมิอากาศ, ฯลฯ ในศตวรรษที่ 20 แฟชั่นโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะปี ค.ศ. 1920 - 1930 หรือเรียกว่ายุค แฟลปเปอร์ (Flapper) ผู้หญิงสวมกระโปรงสั้นเป็นครั้งแรก และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้หญิงต้องออกจากบ้านเพื่อทำงานหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นเสื้อผ้าที่สวมใส่ย่อมเปลี่ยนไปเพื่อเอื้อประโยชน์ในผู้สวมใส่มากขึ้น กางเกงจึงเป็นที่นิยม ตั้งแต่ยุคแฟลปเปอร์เป็นต้นมา แฟชั่นของโลกได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นสากล เพราะการติดต่อสื่อสารของโลกตะวันตกและตะวันออกเป็นได้เปิดกว้างมากขึ้น มีการไปมาหาสู่กัน แฟชั่นของโลกตะวันตกจึงเข้ามามีบทบาทกับโลกตะวันออก เช่น คนไทยรณรงค์ให้สวมหมวก หรือ ผู้หญิงไทยเลิกสวมโจงกะเบน เพื่อความเป็นสากล
ลักษณะหรือแบบแผนของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของแต่ละยุคสมัย เรียกว่า สไตล์ (Style) แต่ละคนมีสไตล์การแต่งตัวไม่เหมือนกัน เช่น บางคนชอบแต่งตัวสไตล์ พั้งค์ (Punk) หรือเด็กสาวๆชอบสไตล์เซ็กซี่ ที่ฝรั่งเรียกว่า ราซี่ (Racy or Provocative) ส่วนคำว่า เทรนด์ (Trend) คือ แฟชั่นล่าสุด ที่กำลังเป็นที่นิยม
สไตล์การแต่งตัวสามารถจำแนกได้เป็นประเภทนับไม่ถ้วน ต่อไปนี้เป็นสไตล์เด่นๆ หลักๆ ที่เป็นที่นิยมในอดีตจนปัจจุบัน บางสไตล์ถือว่าล้าสมัยไปแล้วในปัจจุบัน บางสไตล์ถือว่าเป็นคลาสสิค เพราะแต่งเมื่อไร ก็ไม่ถูกมองว่าเชยหรือตกรุ่น อย่างไรก็ตามยังมีบางสไตล์ที่เคยล้าสมัยไปแล้วอาจเวียนกลับมาเทรนด์อีกครั้ง
  1. Western / Cowboy or Cowgirl คาวบอย / ตะวันตก
  2. Punk พั้งค์
  3. Preppie เพรปปี้
  4. Futuristic อวกาศ / อนาคต
  5. Hippie ฮิปปี้
  6. Mod ม็อด
  7. Flapper แฟลปเปอร์
  8. Disco ดิสโก้
  9. New Wave นิวเวฟ
  10. Goth / Gothic โกธิค
  11. Equestrian / Fox Hunting / Jockey จ็อคกี้ / พวกนิยมขี้ม้า
  12. Biker นักซิ่ง / เด็กแว๊น (ของฝรั่ง)
  13. Boho-Chic / Boho-Hippie โบโฮ
  14. โลลิตา สาวน้อยใสๆ สไตล์ญี่ปุ่น
  15. Eveningwear / Black Tie ชุดราตรี
  16. Hipster / Indie อินดี้
  17. Hip Hop ฮิปฮอป

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

iPad


iPad
iPadหรือ ไอแพด คือคอมพิวเตอร์พกพาหน้าจอสัมผัสไร้คีย์บอร์ดล่าสุดที่ Apple ได้ทำการเปิดตัว สำหรับ ราคาของ iPad เริ่มที่ 499 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 17,000 บาท ส่วนกำหนดการการวางขาย iPad นอกประเทศอเมริกา คือเดือนมิถุนายน

หากใครอยากได้ iPad เร็วๆ ก็ต้องไปหาซื้อ iPad ตาม มาบุญครอง MBK, Pantip และ ฟอร์จูน ซึ่งน่าจะเอาเข้ามาให้สาวก Apple ที่มีกำลังซื้อระดับสูงได้ทดลองหามาเล่น สำหรับ iPad จะเหมาะกับคุณหรือไม่ จะเอา iPad มาทำอะไร ลองไปดูกัน


ทำไมต้อง iPad
สตีฟ จ็อบส์ กล่าวถึง iPad ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถพกพาได้สะดวกกว่าคอมพิวเตอร์แล็บท็อป และมีความสามารถมากกว่าสมาร์ทโฟน การออกแบบ iPad นั้นทาง Apple ได้ ยึดโมเดลของ iPhone เป็นส่วนใหญ่
Specification ของ iPad
  • หน้าจอสัมผัสขนาด 9.7 นิ้ว
  • ความหนาตัวเครื่อง 0.5 นิ้ว
  • หน่วยความจำภายในเครื่อง 3 ขนาดได้แก่ 16GB 32GB และ 64GB
  • ผู้ใช้สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายข้อมูลไร้สาย Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมแบบไร้สายด้วยเทคโนโลยี Bluetooth
  • การันตีแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง
  • แถมสามารถเปิดเครื่องพร้อมใช้งานได้นาน 1 เดือนโดยไม่ต้องชาร์จไฟ



ราคาของ iPad
  • สำหรับ iPad รุ่นที่เป็น Wi-Fi อย่างเดียวจะจำหน่ายในราคา 499, 599 และ 699 เหรียญตามขนาดความจุ
  • แต่หากเป็น ipad รุ่นที่รองรับ 3G ด้วย จะมีราคา 629, 729 และ 829 เหรียญตามขนาดหน่วยความจำ

นั่นแปลว่าราคา
 iPad รุ่นที่แพงสุดคือ ราวๆ 28,000 บาท และแน่นอนเมื่อสินค้ากลุ่ม iPad เข้ามาที่ประเทศไทย ราคา iPad ในประเทศไทยต้องมีการปรับตัวอย่างแน่นอน จะกี่บาทนั้นต้องตาม Update กันต่อไป ทาง WitterNews.com จะนำความคืบหน้าเกี่ยวกับราคาของ iPad มาอัพเดตเป็นระยะๆ





หมายเหต (
Promotion แต่ละ Package เฉพาะที่อเมริกาเท่านั้น) - ครั้งนี้ Apple ไม่ได้บังคับให้ลูกค้า iPad ใช้บริการข้อมูลกับค่ายโอเปอเรเตอร์รายเดียวแบบที่เคยทำกับไอโฟน แต่ Apple ก็ยังประกาศโปรโมชันของเอทีแอนด์ที (AT&T) ซึ่งมีราคาเริ่มที่ 14.99 เหรียญต่อเดือน (ราว 500 บาท) จำกัดการใช้งานข้อมูลที่ 250MB และแบบไม่อั้น 29.99 เหรียญ ทั้งหมดไม่กำหนดระยะเวลาสัญญา

วันและเวลาวางจำหน่าย
iPad

iPad รุ่น 3G จะวางจำหน่ายในสหรัฐฯเดือนเมษายนนี้ โดย Apple ยังไม่ยืนยันเกี่ยวกับวันวางขายที่ประเทศอื่นๆในขณะนี้



จะซื้อ
iPad ได้ที่ไหน

ถ้าเป้นที่อเมริกา หาซื้อไม่ลำบาก แต่หากอยากได้
ipad ในประเทศไทยก็ต้องแน่นอนว่าต้องเป้นของหิ้วตาม มาบุญครอง MBK, Pantip และ ฟอร์จูน ซึ่งในช่วงแรก บรรดาร้านใหญ่ๆหรือร้านที่มี Connection ที่ดีจะได้นำเข้ามาเปิดตลาด และ mark up ราคาขึ้นอย่างแน่นอน และมีอีกเรื่องที่ต้องระวังไว้คือ หากเสีย หรือต้องซ่อม iPad ก็จะเป็นเรื่องที่ดูน่าลำบากเพราะยังเป็นสินค้าตัวไหม่ 

จะซื้อ
iPad ดีหรือไหม่ มาฟัง Review และบทวิเคราะห์กัน




เรื่องของ
iPad
นั้นมีการทำนายแตกต่างกันไป บางรายเชื่อว่า iPad คือดาวรุ่งในกลุ่ม laptop replacement ซึ่งเน้นกลุ่มที่ต้องการมองหาอุปกรณ์ใหม่มาแทนที่แล็บท็อปตัวเดิม เนื่องจาก Apple พัฒนาโปรแกรมคีย์บอร์ดมาให้ผู้ใช้สามารถกดพิมพ์บนหน้าจอ iPad ได้โดยตรง (ลักษณะเดียวกับการกดโปรแกรมแผงตัวเลขบนไอโฟนเพื่อโทรศัพท์หรือพิมพ์ข้อความ) ขณะที่บางรายเชื่อว่าฟีเจอร์ใน iPad ยังไม่เพียงพอต่อการครองใจผู้บริโภค ที่ยังต้องการฟีเจอร์ด้านเครือข่ายสังคมสูงมาก

Feature หรือลูกเล่นใน iPad

มาดูว่าคุณจะใช้
iPad
ทำอะไรได้บ้าง
  • สามารถท่องเว็บบน iPad ด้วยเบราว์เซอร์ Safari
  • พิมพ์อีเมลด้วยโปรแกรมคีย์บอร์ดบนหน้าจอ
  • ชมอัลบั้มรูปภาพด้วยการใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอ
  • เข้าร้านจำหน่ายหนังสือออนไลน์ใหม่บนไอจูนส์ที่ใช้ชื่อร้านว่า ไอบุ๊กส์(iBooks)
  • iPad มี Program ที่เอาไว้อ่านหนังสือคล้ายๆ kindle ของ Amazon ที่ให้ความรู้สึกเหมือนการอ่านจากหน้ากระดาษ
  • เอา iPad มา sync กับ OS ของ Apple และวินโดวส์ (Windows) ของไมโครซอฟท์ได้ โดย ipad จะมาพร้อมซอฟต์แวร์ปฏิทินงาน แผนที่ และไอจูนส์เพื่อให้ iPad เป็นเครื่องเล่นเพลงเหมือนไอพ็อด



สามารถใช้โปรแกรมแอปพลิเคชันของ
iPhone บน iPad ได้

ทาง
Apple ได้กล่าวว่าโปรแกรมแอปพลิเคชันที่นักพัฒนาสร้างมาเพื่อ iPhone นั้นสามารถทำงานบน iPad ได้ โดยงานนี้ Apple ได้เปิดให้นักพัฒนาดาวน์โหลดซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่สำหรับสร้างโปรแกรมเพื่อใช้บนทั้งไอโฟนและ iPad ด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกเต็มที่บนความหวังให้ผู้ใช้ iPad มีแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาลให้เลือกใช้

ข่าวเปิดตัว
iPad ทำหุ้น Apple พุ่ง

โปรแกรมอ่านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ (
New York Times) และเกมจากอีเอ (Electronic Arts) ถูกนำมาสาธิตผ่าน iPad บนเวทีอย่างน่าตื่นตา ท่ามกลางเสียงปรบมือของสื่อมวลชนและบล็อกเกอร์จำนวนมาก แน่นอนว่า Apple สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้มากโข ส่งให้มูลค่าหุ้นของ Apple เพิ่มขึ้น 1% ทันทีหลังประกาศ ก่อนจะปิดที่ 207.98 เหรียญ



i Phone 4

iPhone 4  ตัวใหม่ล่าสุดเปิดตัวไปแล้ว สำหรับผู้ที่สนใจหรือพลาดข่าวก่อนหน้านี้ลองมาดูสรุปข้อมูลอย่างเป็นทางการคร่าวๆอีกรอบ ซึ่งสอดคล้องกับขาวลือที่ทะยอยออกมาก่อนหน้าการเปิดตัวนี้
เริ่มต้นจากดีไซน์ซึ่งใหม่หมดทั้งเครื่อง จนสามารถเห็นได้จากไกลๆว่าไม่ใช่ตัวเดียวกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง 3GS
หน้าจอและหลังเครื่องเป็นกระจกทนทานพิเศษ อลูมิโนซิลิเกต ซึ่งให้ความแข็งแกร่งเป็น 30 เท่าของพลาสติกทั่วไป ทำให้ทนแรงแระแทกและรอยขีดข่วนได้ดีกว่าเดิม (โทรศัพท์ทั่วไปไม่มี) และทาง Apple ก็ได้บอกด้วยผู้ใช้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้เคสกันกระจกอีกต่อไป นอกจากนี้ใครที่เบื่อหน่ายกับปัญหาจอภาพมันด้วยมือจับจนต้องเช็ดบ่อยๆ จอตัวใหม่นี้จะเคลือบด้วยวัสดุ ต้านน้ำมันและไขมัน หรือที่เรียกว่ามีความสามารถแบบไลโปโฟบิค
ขอบเครื่องทำจากสเตนเลสรอบเครื่องซึ่งแข็งแกร่งทนรับแรงกระแทกได้สูง และขอบรอบเครื่องนี้ ทาง Apple บอกว่ามีหน้าที่พิเศษคือเป็นเสาสัญญาณโทรศัพท์, GPS, Wifi, Bluetooth ในตัวด้วย และนี้คือส่วนหนึ่งที่ช่วยลดขนาดโทรศัพท์ให้เล็กลงเหลือบาง 9.3 มม (iPhone 3GS หนา 12.3 มม) และกว้าง 58.6 มม (3GS กว้าง 62.1 มม) แต่เพิ่มสเปคได้มากขึ้น ในขณะที่น้ำหนักและความสูงเครื่องยังคงเดิม
จอภาพใน iPhone 4 โดดเด่นที่สุดในตลาดโทรศัพท์มือถือตอนนี้คือใช้จอภาพละเอียดสูง 960×640 พิกเซล ซึ่งเกือบเท่าจอภาพในคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊คทั่วไป แต่อัดย่อลงเหลือจอขนาด 3.5 นิ้วเท่าตัวเดิม ซึ่งกลายเป็นว่าให้ความละเอียดสูงสุดในตลาดตอนนี้ (ไม่นับโทรศัพท์รุ่นพิเศษหายากจากญี่ปุ่น) คือ 326 พิกเซลต่อนิ้ว และทาง Apple เรียกขื่อจอภาพนี้ว่าจอ Retina เนื่องจากตัวเลขนี้ได้เลยเขตความสามารถของจอรับภาพในตามนุษย์ซึ่งอยู่ที่ 300 พิกเซลต่อนิ้ว
กล้องได้รับการปรับสเปคเพิ่มเป็น 5 ล้านพิกเซล ซูมได้ 5 เท่า มีออโต้โฟกัส มีแฟลช LED และสามารถถ่ายวีดีโอ HD 720p ได้ นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์บริเวณกล้องเพื่อตรวจจับแสงก่อนปรับแสงอัตโนมัติโดยเฉพาะในที่แสงน้อย
iPhone 4 นี้มีกล้องตัวที่สองอยู่บริเวณหน้าจอโทรศัพท์ ถูกเพิ่มมาในรุ่นนี้เป็นครั้งแรก กล้องตัวนี้ใช้สำหรับถ่ายวีดีโอเพื่อการแชทแบบเดียวกับการเล่นเว็บแคมคุยกันในคอมพิวเตอร์ ซึ่งฟีเจอร์นี้ใีชื่อว่า FaceTime เปิดใช้ได้ง่ายไม่ต้องเลือกค่าวุ่ยวาย แต่ขณะนี้ทาง Apple บอกว่าใช้แชทวีดีโอได้เฉพาะผ่าน Wifi เท่านั้น การแชทวีด๊โอผ่าน 3G กำลังอยุ่ระหว่างการปรับปรุง และคาดว่าจะออกมาให้ใช้ได้หลังการอัพเกรดระบบปฏิบัติการในครั้งต่อๆไป
iPhone 4 ได้เพิ่มความเร็วการทำงานทั้งทั่วไปและกราฟฟิคด้วยชิพโปรเซสเซอร์ความเร้วเกือบเท่ากับที่ใช้ในเครื่อง iPad ซึ่งเร็วกว่าในตัว 3GS ประมาณเท่าตัว
นอกจากตัวตรวจจับตำแหน่งจอด้วย accelerometer แล้ว ไอโฟน 4 นี้ได้เพิ่มอีกตัวคือ gyroscope สามแกน ซึ่งจะใช้ตรวจสภาพการโคลงของโทรศัพท์ได้ทั้งสามแกน ช่วยเพิ่มฟังก์ชั่นให้การใช้งานโดยเฉพาะเกมส์
iPhone 4 มากับแบตตัวใหม่ซึ่งใช้งานได้นานกว่าเดิมด้วย คุยนาน 7 ชม (3GS 5 ชม)
ซอฟต์แวร์ใน iPhone 4 แตกต่างกับตัวเก่าๆอย่างมากด้วยการเปิดใช้ระบบปฏบัติการใหม่ iOS 4 (เครื่องเก่ารวมทั้ง iPod Touch รอรับอัพเกรดได้เป็นบางรุ่น) ซึ่งมีฟีเจอร์ที่มีการเรียกร้องผ่านสื่อมานานคือ multitask หรือการเปิดใช้โปรแกรมหลายตัวพร้อมๆกัน แต่ในรุ่นนี้ โปรแกรมที่รองรับ multitask ยังจำกัดอยู่เแพาะโปรแกรมที่มากับเครื่องก่อนเท่านั้น
ฟีเจอร์เด่นอีกอย่างสำหรับผู้ที่มีโปรแกรมหรือ App ลงในโทรศัพท์มากมาย สามารถจับกลุ่มโปรแกรมเป็นโฟลเดอร์ได้ด้วยการลาก App เข้าหากัน ซึ่งจะยุบรวมเหลือไอคอนเดียวเกิดเป็นกลุ่มขึ้น สามารถเปิดดู App ในกลุ่มเมื่อเลือกโฟลเดอร์ของกลุ่มนั้นๆ
ผู้ที่อ่านหนังสือจะได้ใช้งาน iBook แบบเดียวกับที่พบในเครื่อง iPad ด้วย
สำหรับผู้ถ่ายวีดีโอ สามารถตัดต่อวีดีโอได้ภายในโทรศัพท์ด้วยโปรแกรม iMovie ซึ่งมีฟีเจอร์เกือบเต็มรูปแบบสำหรับตัดต่อวีดีโอก่อนอัพโหลดได้ โปรแกรมนี้เป็น App เสริมซื้อได้ในราคา 4.99 ดอลล่าร์สหรัฐ
ตัวเครื่องที่จะออกมาขายจะมีขนาดความจุ 16GB และ 32GB มีสองสีแบบเดิมคือ ขาว และ ดำ ใครอยากแต่งด้วยสีอื่นสามารถซื้อเคสหุ้มเฉพาะขอบของแท้จาก Apple ได้ในราคา 30 ดอลล่าร์สหรัฐ (1 พันบาท)
iPhone 4 จะเริ่มรับจองที่สหรัฐอเมริกาวันที่ 15 มิถุนายนนี้ด้วยราคาเดิม และรับเครื่องวันที่ 24 มิถุนายน ส่วนรุ่นเก่า 3GS ได้ลดราคาลงเหลือครึ่งหนึ่ง (ใครเพิ่งซื้อ 3GS ในราคาเต็มไปได้ไม่นาน ขอแสดงความเสียใจด้วย ส่วนรุ่น 3G นั้นเลิกผลิตและกลายเป็นของหายากไปแล้ว)

MINI Cooper S

MINI Cooper S
ถ้าไม่ได้ลองขับรถรุ่นนี้ด้วยตัวเอง ก็จะไม่รู้ว่าทำไมรถรุ่นนี้ถึงขายได้ และขายได้ดีด้วย


เมื่อตอนที่ MINI เวอร์ชั่นใหม่ ภายใต้การฟูมฟักของค่าย BMW จากเยอรมัน เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ความรู้สึกที่เคยรักชอบเจ้ารถคันเล็กจิ๋วที่ฝังใจมาตั้งแต่เด็ก กลับกลายเป็นความรู้สึกเฉย ๆ ไม่ค่อยยินดียินร้ายกับการเปลี่ยนแปลงมากนัก ยิ่งได้ดูหนัง The Italian Job เวอร์ชั่นที่ 2 ที่เอามินิตัวใหม่มาแสดงนำ ก็ให้รู้สึกเกิดการเปรียบเทียบขึ้นมา ระหว่างหนังเวอร์ชั่นแรกที่เคยดูเมื่อ 30 กว่าปีก่อน แล้วได้ข้อสรุปในใจตัวเองว่า "ของเก่าน่าจะดีกว่าของใหม่"...เอ๊ะ เรายึดติดกับความทรงจำเก่า ๆ มากเกินไปหรือเปล่า? นี่ละเค้าเรียกว่า "Paradigm"

    
 ในความยึดติดอย่างที่เรียกว่า Paradigm ของเรานั้น ยังมองเห็นว่า" MINI" ที่เป็นผลงานจากการออกแบบโดย Sir Alec Issigonis ชาวอังกฤษเชื้อสายกรีก ที่ออกสู่สายตาชาวโลกเมื่อปี 1959 นั้น น่าจะเป็นผลงานชิ้นอมตะที่ไม่น่าจะมีใครมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้อีก

ภายใต้สภาวะที่ขาดแคลนน้ำมันจากสงครามที่อ่าวสุเอซในช่วงกลางทศวรรษ 1950 Alec Issigonis อดีตวิศวกรถูกดึงตัวกลับมาอยู่กับโรงงาน British Motors Corporation หรือ BMC ที่ Longbridge อีกครั้งหนึ่ง เพื่อรับมอบหมายงานออกแบบรถรุ่นใหม่ของด้วยคอนเซ็ปต์ขั้นพื้นฐานง่าย ๆ แต่ปฏิบัติยากของ Sir Alec นั้น ถูกกำหนดเงื่อนไขในการออกแบบรถยนต์นั่งที่มีห้องโดยสารบนพื้นที่อันจำกัด ขนาดไม่เกิน 10x4 ฟุต หรือประมาณ 3x1.2 เมตร ให้กว้างพอที่จะบรรจุผู้โดยสารที่มีรูปร่างสูงขนาดมาตรฐาน 180 ซม.จำนวน 4 คนได้อย่างสะดวกสบาย (พอสมควร..!) และบนพื้นที่อันน้อยนิดอย่างที่ว่านั้น มันมีขนาดที่เล็กมาก ๆ จนในที่สุดผลงานที่ Sir Alec ประสบความสำเร็จในการออกแบบมาอย่างที่เห็น และกลายเป็นประวัติศาสตร์ของโลกรถยนต์ขึ้นมาอีกหน้าหนึ่ง นั่นก็คือ รถมินิที่มีขนาดความยาวไม่เกิน 3 เมตร ใช้ล้อขนาด 10 นิ้ว ติดตั้งในตำแหน่งมุมทั้งสี่ของตัวรถ

       เครื่องยนต์ขนาดเล็กโมเดล A 4 สูบที่มีอยู่แล้ว เริ่มต้นตั้งแต่ขนาด 850 ซี.ซี. ไปจนถึง 1,100 ซี.ซี. ที่ถูกโมดิฟายใหม่ ต้องรวบเอาห้องเกียร์ 4 สปีดและชุดเฟืองท้ายเอาไว้ใต้อ่างน้ำมันเครื่อง เพื่อจะได้วางในแนวขวางและใช้ระบบขับเคลื่อนที่ล้อหน้า

        ด้วยข้อจำกัดของเนื้อที่ในการออกแบบระบบกันสะเทือน ถึงแม้จะทำให้เป็นอิสระทั้งสี่ล้อได้ แต่มินิก็ถูกออกแบบให้ใช้กระเปาะยาง หรือ Rubber cone รองรับน้ำหนักแทนคอยล์สปริง ระบบกันสะเทือนชนิดนี้จะออกไปทางกระด้างนิด ๆ แต่ผู้ที่ชื่นชอบมินิก็บอกว่า มันให้การยึดเกาะถนนที่ดี และให้อารมณ์ในการขับขี่เหมือนกับขับโก-คาร์ท




        จากรถมินิต้นแบบคันแรกที่ปรากฏต่อสายตาผู้คนชาวอังกฤษในยุคทศวรรษที่ 60 นั้น ได้ถูกนำเข้าสู่สายการผลิตของ Austin และ Morris ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของ BMC-British Motor Corporation เป็นครั้งแรก และยังไม่มีชื่อเรียกเป็น MINI จวบจนกระทั่งเจ้าจิ๋วประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายฮิตติดอันดับ จึงได้เกิดชื่อเรียกตามขนาดเล็กจิ๋วของมัน และท้ายสุดคำว่า MINI ก็กลายเป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกรถขนาดเล็กทรงสองกล่องเพื่อประหยัดพื้นที่ หลังจากนั้นมินิก็ถูกเปลี่ยนมือเข้าไปอยู่ในกลุ่มบรรษัทรถยนต์อย่างบริติช เลย์แลนด์ ในยุคต่อมา แล้วก็เข้าไปอยู่ภายใต้แบรนด์
Rover ก่อนที่จะถูกเทคโอเวอร์โดย BMW เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20


        ด้วยขนาดรูปทรงภายนอกที่เล็กจิ๋วน่ารักในสายตาผู้คน และสะดุดตา เมื่อมันโลดแล่นอยู่บนถนน สามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นถนนใหญ่หรือตรอกซอกซอยเล็ก ๆ แคบ ๆ ใช้พื้นที่เพียงน้อยนิดบนท้องถนน เหล่าบรรดาผู้ที่ชื่นชมผลงานที่เป็นรถมินิจึงได้ต่อยอดทางความคิดออกมามากมาย ทั้งจากสายการผลิตปกติของโรงงานเอง และสำนักตกแต่งรถชื่อดังจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลก ต่างก็หันมาจับเจ้ามินิคันเล็กจิ๋วดัดแปลงรูปทรงหรือเครื่องยนต์ ให้กลายเป็นมินิในสไตล์ที่ตัวเองชื่นชอบ ดังนั้น จึงมีมินิในรูปทรงแปลกๆ รวมไปถึงมินิสมรรถนะสูงกำลังแรงแล่นอยู่บนท้องถนนปะปนกับมินิที่เป็นรถบ้าน กระจายอยู่บนท้องถนนไปทั่วโลก และส่วนหนึ่งถูกเก็บเป็นของสะสมของผู้ที่รักมินิเป็นชีวิตจิตใจมาเป็นเวลานานร่วม 4 ทศวรรษ ก่อนจะหยุดการผลิตไป ด้วยยอดการผลิตรวมเกือบ 5.4 ล้านคัน เป็น British Best Seller รุ่นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกยานยนต์
       MINI ใหม่ภายใต้การบริหารงานโดย BMW ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา MINI ใหม่ ยังคงมีฐานการผลิตอยู่ที่เดิมคือโรงงาน Cowley และ Swindon ในอังกฤษ เพื่อให้คงไว้ซึ่งกลิ่นอายของ MINI ดั้งเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด และนั่นก็คงทำได้เพียงเพื่อรักษาสัญลักษณ์ในถิ่นกำเนิดเอาไว้เท่านั้น แม้กระทั่งชื่อของ MINI ดั้งเดิม ก็ถูกสะกดด้วยอักษรตัวใหญ่เป็น MINI หรือในบางครั้งก็เรียกเต็มๆว่า BMW MINI
MINI ใหม่ ที่ผลิตออกมาหลังปี 2000 ได้ถูกออกแบบใหม่โดย Frank Stephenson โดยได้พยายามรักษาเค้าโครงดั้งเดิมของ MINI รุ่นพี่เอาไว้ให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังต้อง"อัด"เทคโนโลยีใหม่ ๆ ใส่เข้าไปตามแนวทางที่ถนัดของ BMW ในที่สุด MINI ในทศวรรษที่ 21 ก็ออกมาจากสายพานผลิตที่รู้จักกันในชื่อ MINI หรือ MINI (R53)

        MINI (R53) เข้าประจำการด้วยรูปลักษณ์ที่มองผ่าน ๆ ก็ดูออกว่านี่คือเค้าโครงของ MINI ที่ใหม่และใหญ่ขึ้น แต่ยังคงบุคลิกความคล่องแคล่วบนท้องถนนได้เหมือนเดิม แต่เมื่อเข้าไปพิจารณากันใกล้ ๆ แล้ว จะเห็นความแตกต่างในความใหม่ของรถยุคใหม่อย่างชัดเจน จะมีเพียงเค้าโครงของรถรูปทรงสองกล่องดั้งเดิม มีล้อทั้งสี่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่โตขึ้นติดตั้งเอาไว้ในตำแหน่งของมุมทั้งสี่



       ในส่วนหัวของรถบริเวณที่ติดตั้งเครื่องยนต์ ยังคงลักษณะที่สั้นได้สัดส่วนกับขนาดของล้อที่โตขึ้น แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ MINI ดั้งเดิมเอาไว้ ด้วยไฟหน้ารูปกลมและฉีกแนวเป็นวงรีเล็กน้อยและใช้เป็นฟังก์ชันรวมทั้งไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณอื่น ๆ กระจังหน้ามีทั้งเลียนแบบหน้ายิ้มพิมพ์นิยมเมื่อครั้งอดีต และแบบกระจังซี่ตามเวอร์ชั่นที่ออกจำหน่าย

       ฝากระโปรงหน้าเจาะช่องระบายความร้อนให้กับอินเตอร์คูลเลอร์ใน Cooper S ถูกออกแบบรวมมากับแก้มบังโคลน ไฟหน้า กระจังหน้า และเปิดยกขึ้นไปได้ทั้งหมดตั้งแต่ขอบกันชนขึ้นไปแบบเดียวกับรถ MINI ที่ใช้แข่งในอดีต ทำให้การเข้าถึงเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ขณะซ่อมบำรุงเป็นไปอย่างง่ายดาย


       ในส่วนของห้องโดยสารนั้น ยังคงเอกลักษณ์ของโครงสร้างแบบรถขนาดเล็ก 2 ประตูเอาไว้ กระจกหน้าต่างรอบคันกลายเป็นกระจกโค้งทั้งหมด ผิดกับของเดิมที่โค้งเฉพาะแผ่นบังลมหน้ากับหน้าต่างหลังเท่านั้น ที่เป็นกระจกโค้งและด้านข้างเป็นแผ่นเรียบ แต่มุมกระจกบังลมหน้าค่อนข้างตั้งชันนั้น ช่วยรักษาเค้าโครงของ MINI ดั้งเดิมเอาไว้ได้ดี และน่าแปลกใจเวลาที่ใช้ความเร็วสูง ๆ ระดับ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป กลับไม่ค่อยเกิดเสียงลมปะทะที่กระจกหน้าอย่างที่คาดเอาไว้ และส่วนท้ายรถถูกเจาะเป็นประตูบานที่สามแบบเปิดขึ้น เพื่อสะดวกแก่การใช้งานขนข้าวของสัมภาระขึ้น-ลง เช่นเดียวกับรถทรงสองกล่องทั่วไป ส่วนไฟท้ายก็ยังเน้นเค้าโครงของไฟท้ายย้อนยุค
        ภายในห้องโดยสารของ MINI (R53) มีขนาดกว้างขวางเพียงพอสำหรับการนั่งโดยสาร 4 คนอย่างสบาย สวิตช์ควบคุมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกจัดวางเลย์เอาท์ให้ใกล้เคียงของเดิม แม้กระทั่งบรรดาปุ่มสวิตช์ต่าง ๆ ก็ยังเลียนรูปแบบให้คล้ายของเดิม อย่างเช่น แผงหน้าปัดที่เรียบง่าย มาตรวัดวงกลมขนาดใหญ่ติดตั้งในตำแหน่งกึ่งกลางหน้าปัด รวมกับแผงปุ่มสวิตช์อย่างได้บรรยากาศ แม้กระทั่งมุมกระจกหน้าที่ตั้งชันก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนกับได้นั่งใน MINI รุ่นเก่า

       ในส่วนของเครื่องยนต์และช่วงล่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตัวถังของ MINI (R53) นั้น ไม่ได้มีอะไรที่ปรับปรุงมาจาก MINI ดั้งเดิมเลย จะมีเพียงการวางเลย์เอาท์เครื่องยนต์แบบวางขวางเพื่อใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้นที่เหมือนกัน แต่ชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ คือของใหม่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเกียร์แมนวล 6 สปีด หรืออัตโนมัติแบบ CVT ที่มีแป้นเปลี่ยนเกียร์อยู่หลังแป้นพวงมาลัย (ให้มาเป็นออปชั่นเสริม)

        ระบบช่วงล่างหน้าของ MINI (R53) ใช้ระบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท และข้างหลังเป็นมัลติลิงค์ เพื่อการยึดเกาะถนนที่มั่นคง และการถ่ายทอดแรงบิดสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มที่ขณะเร่งออกตัว ผิดกับ MINI ยุคแรก ที่ใช้แบบดับเบิลวิชโบนที่ล้อหน้า และแขนเทรลลิ่งอาร์มที่ล้อหลัง เพื่อประหยัดเนื้อที่ของโครงสร้าง แต่ระบบรองรับน้ำหนักที่ใช้ยางรับเบอร์โคนที่มีการยืดหยุ่นตัวน้อย ทำให้รถมีบุคลิกของรถที่กระด้างนิด ๆ พอมาเป็นโครงสร้างระบบช่วงล่างใหม่ใน MINI (R53) ที่สามารถยืดหยุ่นตัวได้มากก็จริง แต่เพื่อรักษา "ฟีลลิ่ง" ในการขับขี่ให้ใกล้เคียงกับ MINI รุ่นเก่า MINI (R53) จึงได้รับการปรับเซ็ตช่วงล่างให้แข็งหนึบหนับมากกว่าปกติ และนั่นก็เป็นผลดีที่ทำให้ MINI (R53) ใหม่ มีการทรงตัวและเกาะถนนได้ดีเมื่อใช้ความเร็วสูง


 
        ด้วยความจำเป็นที่ค่อนข้างรีบด่วนกับการเปิดตัวของ MINI (R53) ภายใต้การบริหารของ BMW เป็นครั้งแรก และ BMW ก็ไม่เคยมีเครื่องยนต์แบบวางขวาง และขับเคลื่อนล้อหน้ามาก่อน ก็เลยต้องไปหยิบยืมเอาเครื่องยนต์ของ Tritec จากบราซิลมาใช้

        Tritec เป็นโรงงานผลิตเครื่องยนต์ที่ร่วมหุ้นกันระหว่างไครสเลอร์ กับโรเวอร์กรุ๊ป ก่อนหน้าที่ BMW จะซื้อกิจการของโรเวอร์ไม่นานนัก เครื่องยนต์ที่ Tritec ผลิตออกมาถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ทันสมัยทีเดียว ถึงขนาดเคยคว้ารางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมมาแล้วในปี 2005 ดังนั้น เมื่อนำมาใช้กับก็ถือว่า MINI (R53) ทั้งเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร หายใจธรรมดา 90 แรงม้า (ในรุ่น MINI ONE) และรุ่นที่ติดตั้งซูเปอร์ชาร์จควบกับอินเตอร์คูลเลอร์สำหรับรุ่นท็อปใน Cooper S ที่มีฝูงม้าพร้อมรบถึง 170 แรงม้า DIN แค่นี้ก็ทำให้ MINI (R53) ที่ขยายสัดส่วนในมิติต่าง ๆ โตขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นรถที่มีฝีเท้าจัดจ้านทั้งตีนต้นและตีนปลาย สะใจแฟน ๆ ไปทั่วโลก สมดังเจตนารมณ์ที่ BMW คาดหวังเอาไว้ และเริ่มมียอดขายเป็นกอบเป็นกำขึ้นเรื่อยๆ และมียอดการผลิตทะลุหลัก 1 ล้านคันไปแล้ว เมื่อต้นปีนี้เอง

        การเดินทางของ MINI ใหม่ ภายใต้การฟูมฟักของ BMW ได้มาสู่จุดแห่งการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งในปีนี้เอง ดูเหมือนว่า BMW จะมีความพร้อมและมั่นใจกับการทำตลาดของ MINI มากยิ่งขึ้น ยิ่งได้กำลังใจจากการตอบรับของแฟน ๆ MINI ทั้งจากส่วนหนึ่งที่เคยปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงจากเวอร์ชั่นเก่าที่เริ่มหวนกลับมาหลังจากที่ได้ทดลองขับเวอร์ชั่นใหม่แบบตัวเป็น ๆ แล้วติดใจ กับอีกส่วนหนึ่งก็เป็นกลุ่มลูกค้ารถหรูดั้งเดิมของ BMW เอง ที่เริ่มมันส์กับบุคลิกความคล่องแคล่วของ MINI ยามที่ใช้งานในเมืองที่เต็มไปด้วยความแออัดของปริมาณรถบนท้องถนน ผนวกกับความต้องการฉีกหนีรูปแบบ หรือไลฟ์สไตล์ที่มีความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างมั่นใจ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้รถคันเล็กที่หรูหราอย่างมีเอกลักษณ์ แถมยังราคาแพง แต่ยังขายได้ และขายได้ดีด้วย

        ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าศึกษาข้อมูลลึก ๆ และพิจารณากันอย่างละเอียดแล้ว ก็จะพบว่า BMW นั้น เริ่มเอาจริงเอาจังกับ MINI มากแค่ไหน ก็ต้องตามมาดูกันต่อใน MINI (R56) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ 2 หรือโมเดลเชนจ์รุ่นปี 2007 ที่เริ่มเข้ามาวางจำหน่ายในตลาดเมืองไทยชนิดที่ว่าสด ๆ ร้อน ๆ กันเลยทีเดียว



        ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของ MINI อาจจะมีคำถามในใจตั้งแต่แรกที่ได้พบเห็นกันเลยว่า "แล้วมันแตกต่างกันยังไง?" คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามยอดฮิต FAQ อันดับหนึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่จะถาม

        MINI (R53) กับ (R56) นั้น ถือว่ามีความแตกต่างกันในรายละเอียดอย่างมากทีเดียว แต่ถ้าไม่จับมาจอดเทียบกันแบบตัวต่อตัวแล้ว อาจจะมองไม่ออก เหมือน ๆ กับ MINI เวอร์ชั่นเดิมที่ต้องจับเอาแต่ละรุ่นมาเรียงเปรียบเทียบกันดู จึงจะเห็นว่าในช่วง 40 ปีของ MINI มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง

        จากรูปทรงภายนอก ไล่กันตั้งแต่หัวจดท้ายรถก็จะพบว่า มันแตกต่างกันมาเลยแหะ กระจังหน้า ฝากระโปรงหน้า ไฟใหญ่ ไฟเลี้ยว ไฟหรี่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ฝากระโปรงยังคงเปิดได้แบบยกยวง รวมกับแก้มบังโคลนหน้าเหมือนเดิม แต่ไฟหน้าไม่ลอยติดไปกับฝากระโปรงด้วย มุมลาดเอียงของกระจังหน้าก็ไม่เหมือนกัน ตัวใหม่จะยื่นออกมามากกว่าและสูงขึ้นกว่าเดิม ยิ่งถ้าเป็นตัว Cooper S แล้วละก้อ หลายคนอาจจะงง เพราะส่วนบนของฝากระโปรงในรุ่นนี้ ปกติจะมีช่องเจาะเพื่อให้ลมเย็นผ่านเข้าไประบายความร้อนของอินเตอร์คูลเลอร์ในรุ่น R53 พอมาเป็น R56 ช่องเจาะนี้ยังคงมีให้เห็นอยู่เช่นเดิม แต่เมื่อเปิดฝากระโปรงขึ้นมาดูกันจริง ๆ แล้ว มันคือช่องเซาะเอาไว้เลียนแบบของเดิมเท่านั้นเอง ส่วนอินเตอร์คูลเลอร์ที่จะระบายความร้อนให้กับอากาศที่ป้อนเข้าเครื่องยนต์ของ R56 จะย้ายลงไปอยู่ข้างใต้ บริเวณหลังกันชนหน้า ช่างเข้าใจเก็บรายละเอียดกันจริง ๆ
     ในรุ่น Cooper S ที่ได้ลองทดสอบ แม้เพียงช่วงเวลาไม่นานนัก แต่ก็สามารถจับสมรรถนะด้านต่าง ๆ ของ MINI คันนี้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจเหลือเชื่อ จนให้คิดวาดฝันเลยเถิดไปไกลว่า รถที่มีรูปทรงเรียบง่ายไม่โฉบเฉี่ยวหวือหวาแบบรถสปอร์ต ขนาดกำลังกะทัดรัดคล่องตัว แต่ข้างในห้องโดยสารกว้างขวางพอ สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงในยามที่ต้องการเดินทางเพื่อพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นช่วงยามเย็น หรือเดินทางไกลวันสุดสัปดาห์ โดยมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายและความปลอดภัยอย่างครบครัน มันจะเป็นอะไรที่รถคันหนึ่งจะให้เราได้มากขนาดนั้น ถ้าไม่เชื่อก็ลองมาวิเคราะห์กันดูทีละอย่าง
       รูปทรงของตัวรถที่เรียบหรูนั้น คงไม่ต้องคุยมาก ในสไตล์ของ BMW อยู่แล้ว ที่จะต้องทำอะไรที่มันดูแล้วต้องซาบซึ้งไปกับความช่างประดิดประดอย และการเลือกสรรวัสดุที่ใช้ในห้องโดยสาร เบาะหนังแท้ที่ตัดเย็บได้ประณีตและพยายาม "สื่อ" ให้รู้ถึงความรู้สึกกับบรรยากาศที่ย้อนยุคนิด ๆ แผงหน้าปัดตอนกลางมีมาตรวัดรวมอันใหญ่พอ ๆ กับนาฬิกาแขวนข้างฝา 1 จุด (ดูแล้วรู้สึกว่าจะใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิมเสียอีก) สำหรับรายงานผลการทำงานของระบบต่าง ๆ อย่างครบถ้วน รวมไปถึงจอ Onboard Computer โดยมีปุ่มสวิตช์โต้ตอบติดตั้งไว้บนแป้นพวงมาลัย ขณะเดียวกันก็ยังมีหน้าปัดวงกลมเล็ก ๆ อีกชุดหนึ่งที่ทำหน้าที่บอกความเร็วรอบเครื่องยนต์และจอออนบอร์ดเล็ก ๆ ทางด้านล่างภายในชุดวัดรอบ ที่ทำหน้าที่เหมือนกับจอมอนิเตอร์รายงานผล เช่นเดียวกับมาตรวัดรวมอันใหญ่ตรงกลาง ติดตั้งอยู่บริเวณบนคอพวงมาลัยทางด้านหน้าของผู้ขับขี่ ถัดมาใต้มาตรวัดรวมตรงกลางก็จะเป็นชุดเครื่องเสียงชั้นดีที่ฝังกลมกลืนไปกับตัวหน้าปัด ซึ่งถัดลงไปอีกนิดเป็นกลุ่มสวิตช์ควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศ และที่สร้างบรรยากาศย้อนยุคได้ดีอีกอย่างก็เห็นจะเป็นแถว Toggle Switches หรือสวิตช์โยกชุบโครเมียมสำหรับควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงปุ่มควบคุมการเลื่อนเปิด-ปิดของกระจกหน้าต่างทั้งซ้าย-ขวาด้วย แต่ตอนใช้งานจริงอาจจะต้องใช้สายตาชำเลืองมองสักนิดจะได้ไม่คลำผิดคลำถูก

        เหนือกระจกมองหลังก็ยังมีกลุ่มสวิตช์แบบโยกหรือ Toggle อีกชุดหนึ่ง สำหรับการควบคุมกระจกซันรูฟ รถคันที่เราทดสอบเป็นรุ่น Look 2 ที่มีหลังคากระจกกรองแสงทั้งตอนหน้าและหลัง ม่านบังแดดด้านในรู้สึกจะโปร่งแสงมากไปหน่อย จนเกรงใจว่าแอร์จะทำงานหนักตลอดเวลา แต่ระหว่างการทดสอบท่ามกลางแดดจัด ๆ ก็ไม่ปรากฏว่าความเย็นในรถจะไม่พอ ส่วนใครจะไปวิ่งเปิดหลังคารับลมทะเลในวันหยุดพักผ่อน หรือเปิดรับแสงสีตามแหล่งบันเทิงก็เท่ไม่หยอก เพียงแต่ว่าหลังคาจะเลื่อนเปิดได้เต็มที่ก็เฉพาะที่นั่งตอนหน้าเท่านั้น ส่วนตอนหลังได้แต่เปิดแง้มระบายอากาศในจังหวะแรกเท่านั้น

        รับกุญแจจะมาลองสตาร์ทเครื่องดู...ว้าว...ทันสมัยซะด้วย ก็ชุดกุญแจเป็นแบบ Smart entry นั้น ดูธรรมดาสำหรับรถระดับนี้ แต่แป้นจับตัวกุญแจสีเทาดำขนาดใหญ่ ออกแบบเป็นรูปวงกลมเหมือนเหรียญองค์จตุคามฯ ยิ่งส่วนของลูกกุญแจปกติจะเก็บซ่อนไว้ในแป้นจับอีกทีหนึ่ง เวลาจะใช้งานก็เอาไปวางแปะไว้บนช่องด้านขวาของคอพวงมาลัยแล้วดันเข้าไป เท่านี้ก็กดปุ่มสตาร์ทได้แล้ว เอ้า...กดปุ่มสตาร์ทแล้วยังเงียบ ก็ยังไม่ได้เหยียบคลัตช์ก่อนนี่นา มันจะติดได้ยังไง

        ย้อนกลับไปเปิดฝากระโปรงดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในห้องเครื่องยนต์กันนิด ดู ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่น่าจะมีพิษสงมากมาย จากสเป็กเป็นเครื่อง 4 สูบ 16 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 1.6 ลิตร วางขวาง เพื่อใช้กับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ในรุ่น Cooper S จะเสริมการอัดอากาศด้วยเทอร์โบแบบใบพัดก้นหอยคู่ หรือ Twin-scrolled ที่สามารถลดอาการรอรอบ หรือ Turbo lack ที่เป็นจุดอ่อนของเทอร์โบทั่วไป ตัวเทอร์โบติดตั้งอยู่ชิดกับด้านหน้าของห้องเครื่องยนต์ ดังนั้น ฝากระโปรงของ MINI รุ่นนี้จึงถูกทำให้โป่งสูงขึ้นไปมากกว่ารุ่นก่อน เพื่อให้มีช่องว่างมากขึ้น ขณะเดียวกันตัวอินเตอร์คูลเลอร์สำหรับระบายความร้อนออกจากอากาศที่ถูกอัดก่อนเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ก็ถูกย้ายตำแหน่งลงไปอยู่ใต้กันชนหน้า

         ถึงเครื่องยนต์จะเล็ก แต่ก็เล็กแบบพริกขี้หนู เครื่องยนต์ตัวนี้มีชื่อเรียกว่าเครื่อง Prince เป็นผลงานการพัฒนาร่วมกันระหว่าง BMW กับกลุ่ม PSA ผู้ผลิตเปอโยต์และซีตรองแห่งฝรั่งเศส มีทั้งขนาดความจุ 1.4 และ 1.6 ลิตร มีทั้งเครื่องหายใจธรรมดาและอัดอากาศด้วย Twin-scrolled turbo ในเครื่องทั้งหายใจธรรมดาและมีระบบอัดอากาศจะได้รับการติดตั้งระบบควบคุมการป้อนอากาศ Valvetronic ที่ช่วยให้การป้อนอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และในส่วนเครื่องยนต์เทอร์โบนั้น นอกจากจะเพิ่มพลังได้มหาศาลเกินตัวคือระดับ 175 แรงม้า หรือ 128 kW และแรงบิด 240 N-m แล้ว ยังมีโหมดเสริมแรงบิด หรือ Overboost Function ที่สามารถเพิ่มแรงบิดขึ้นเป็น 260 N-m ได้ในทันทีที่กดคันเร่งมิดอีกด้วย

         จุดเด่นของเครื่องยนต์ Prince อีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงเบนซินแบบไดเร็กอินเจ็กชั่น หรือฉีดเชื้อเพลิงตรงเข้าไปยังห้องเผาไหม้ด้วยแรงดันสูง ทำให้การเผาไหม้เป็นไปอย่างสมบูรณ์หมดจด แทบไม่มีมลพิษหลงเหลือออกมากับไอเสียอีก นอกจากนั้นยังประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีเยี่ยม ในการทดลองจับอัตราความสิ้นเปลืองในสภาพการจราจรปกติในกรุงเทพฯ ด้วยความเร็วที่มีทั้งรถติด หรือถนนว่างก็ "อัด" ตัวเลขที่ออกมาได้เกือบ 11 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ถ้าเป็นนอกเมือง เจอทางโล่งๆ ก็ใช้ความเร็ว 120-180 เป็นพัก ๆ ก็ยังทำตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่เกิน 13 กิโลเมตรต่อลิตร ไม่น่าเชื่อว่า รถที่วิ่งได้สะใจแบบนี้จะกินน้ำมันน้อยมาก

        ได้เวลาออกรถกันเสียที MINI (R56) คันนี้เป็น Cooper S ที่มาพร้อมกับเกียร์แมนวล 6 สปีด ส่วนเกียร์อัตโนมัติยังไม่มีออกวางจำหน่ายในช่วงแรก ๆ นี้ ลองขยับเท้ากดคันเร่งไปเรื่อย ๆ ในช่วงแรกพอให้รู้สึกอาการตอบสนองของเครื่องยนต์ รู้สึกจะมีอาการหน่วงบ้างเล็กน้อยตามประสาเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบ Drive-by-wire หรือคันเร่งไฟฟ้า แต่พอเริ่มชินแล้วก็กดคันเร่งเพื่อจับเวลาดู ในแต่ละเกียร์ เสียงเครื่องยนต์คำรามแบบดุดันพร้อมกับอาการดึงของตัวรถแบบหลังติดเบาะ

         เกียร์ 1 กดเต็มที่ รอบเครื่องกวาดขึ้นไปสุดที่ 6,700 รอบต่อนาที ได้ความเร็วสูงสุด 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกียร์ 2 ทำได้ 100 ที่ 6,600 รอบต่อนาที...เกียร์ 5 222 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ 6,500 รอบต่อนาที และ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยรอบเครื่อง 5,800 รอบต่อนาที ที่เกียร์ 6 ..มันเหลือเชื่อจริง ๆ สำหรับเล็กพริกขี้หนูตัวนี้

        เอาใหม่ ลองจับอัตราเร่งแต่ละช่วงความเร็วดู จากหยุดนิ่งถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลา 8.37 วินาที, 0-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 11.17 วินาที, 0-402 เมตร ดีที่สุด 15.97 วินาที ที่ความเร็วปลาย 150.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นต้น

        ตัวเลขต่างๆ ที่เอ่ยมานี้ ฟังดูเหมือนกับธรรมดา ๆ แต่เมื่อได้ลองของจริงกับตัวเองแล้ว จะรู้ว่าเจ้าพริกขี้หนูตัวนี้ไม่ธรรมดาเลย เพราะมันเป็นตัวเลขที่สามารถเทียบกับรถสปอร์ตราคาแพง ๆ อย่างเช่น BMW 6 Series ที่มีราคาค่าตัวเกือบ 10 ล้าน หรือจะเทียบกับรถระดับซูเปอร์คาร์ราคาหลายสิบล้าน ก็ถือว่า MINI (R56) ให้อรรถรสในการขับขี่ที่ไม่ห่างกันนัก ในขณะที่ราคาค่าตัวแตกต่างกันมากมายหลายเท่า ด้วยบุคลิกของเครื่องยนต์ที่ตอบสนองการกดคันเร่งได้อย่างรวดเร็ว จากแรงบิดที่เริ่มต้นตั้งแต่รอบต่ำ ๆ เราสามารถจะ "คลาน" ในเกียร์ 6 ที่ความเร็วไม่ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่เครื่องยนต์ทำงานต่ำกว่า 1,800 รอบต่อนาที และ"สั่ง" กดคันเร่งแบบครั้งเดียวโดยไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ เจ้า MINI Cooper S (R56) สามารถจะไต่ระดับความเร็วขึ้นไปได้ในทันทีโดยไม่มีอาการอืด ถ้าทางโล่งพอก็มีโอกาสไต่ถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาไม่นานนัก และก็จะนิ่งอยู่แค่นั้น

        ถึงได้บอกว่า ถ้าได้ลองขับแล้วจะติดใจ และก็ไม่น่าแปลกใจ ถ้าจะมีลูกค้าที่เบื่อรถสปอร์ตคันใหญ่ หรูหรา จะหันมาขับเจ้าเล็กพริกขี้หนูตัวนี้บ้าง

        ไม่เพียงแต่ MINI คันนี้จะให้อัตราเร่งตอบสนองการขับขี่ได้ไม่น้อยหน้ารถสปอร์ต ก็ต้องยอมรับว่า BMW ทำการบ้านมาดีมาก สำหรับการพัฒนาระบบช่วงล่าง และเสริมการขับขี่ด้วยอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาอีกเพียบ ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างมั่นใจ


         ในการเริ่มต้นออกตัวอย่างรุนแรงในเกียร์ต่ำ ๆ แรงบิดขนาดไม่ธรรมดา จากเครื่องยนต์ขนาดเล็กเพียง 1,600 ซี.ซี. แสดงอาการธรรมชาติของการดึงพวงมาลัยเข้าหาแนวตรงค่อนข้างรุนแรงตามประสารถขับล้อหน้า แต่เมื่อใช้ความเร็วสูง ๆ น้ำหนักของพวงมาลัยจะถูกตัดการเสริมแรงบังคับจากระบบเพาเวอร์ออกไป ทำให้น้ำหนักของพวงมาลัยกำลังพอดี และการถ่ายทอดการสัมผัสของหน้ายางกับพื้นผิวถนนมาสู่มือก็ให้ความรู้สึกถึงความมั่นใจในการเกาะถนน ซึ่งคงต้องยกความดีให้กับเจ้าชุดพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้าที่แบ่งระดับการเสริมแรงในแต่ละช่วงความเร็วออกมาได้อย่างลงตัว

        BMW ได้ทุ่มเทพัฒนาระบบช่วงล่างของ MINI เสียใหม่ตามแนวทางที่ถนัด นั่นก็คือ การปรับเปลี่ยนค่ามุมทางเรขาคณิตของชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือน รวมไปถึงการใช้ชิ้นส่วนของระบบช่วงล่างหลังที่เป็นโลหะชนิดพิเศษ น้ำหนักเบา อย่างเช่นอะลูมิเนียม รวมไปถึงการปรับปรุงระบบเบรกที่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สร้างความมั่นใจในการขับขี่ดังที่ BMW คาดหวังเอาไว้ นั่นก็คือ การยึดเกาะถนนของตัวรถที่จะต้องมั่นคง กระชับ ฉับไวและเฉียบขาด แบบเดียวกับการขับขี่รถโก-คาร์ท ซึ่งเป็นฟีลลิ่งที่ผู้พิสมัยในความเร็วชื่นชอบ ถึงแม้ว่ามันจะหยาบกระด้างอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ในรถยนต์นั่งโดยทั่วไป มันอาจจะหาความรู้สึกแบบนี้ได้บ้างจากรถสปอร์ตระดับซูเปอร์คาร์ที่แสนแพง MINI อาจะเป็นทางเลือกที่ลงทุนน้อยกว่า และยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นพาหนะที่ใช้งานในรูปแบบ Daily use ในขณะที่รถระดับซูเปอร์คาร์ทำแบบนี้ไม่ได้

        
MINI (R56) ถือเป็นความสำเร็จอีกครั้งของ BMW ทั้งในแง่ของการลงทุนทำธุรกิจ โดยซื้อกิจการที่เป็นหนึ่งในสุดยอดของธุรกิจรถยนต์มาไว้ในครอบครอง ไม่เพียงแต่จะทำให้ BMW มีโอกาสต่อยอดสร้างผลกำไรจากกระแสความนิยมของรถยนต์อังกฤษยี่ห้อนี้เท่านั้น แต่ BMW ยังมองไปไกลยิ่งกว่านั้น โดยการใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการผลิตรถยนต์สมรรถนะสูง มาผสมผสานกับรูปลักษณ์ที่เป็นความนิยมแบบย้อนยุคได้อย่างลงตัว งานนี้ฟันธงได้เลยว่า MINI จะกลายเป็นสินค้าหลักของค่าย BMW อย่างเต็มตัว และไม่ใช่เป็นเพียงของเล่นหรือของสะสมสำหรับคนมีเงินเหลือใช้อีกต่อไป

มองจากเส้นเค้าโครงด้านข้างก็เช่นกัน คราวนี้ก็ได้เห็นกันจะจะว่า เส้นขอบเอวหรือ Waistline คือเส้นแบ่งขอบระหว่างกระจกหน้าต่างกับส่วนที่เป็นโลหะของเปลือกตัวถังนั้น จะพบว่า R56 จะมีเส้นขอบเอวหรือขอบหน้าต่างสูงขึ้น หรือว่ามีเนื้อที่กระจกหน้าต่างน้อยลง เป็นบุคลิกที่ดูสปอร์ตมากขึ้น แม้ด้านท้ายรถก็เช่นกัน มีความแตกต่างในส่วนปลีกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่อนข้างมาก และถ้าจะมีใครถามว่ามีชิ้นส่วนอะไหล่ใช้ร่วมกันได้ไหม? คงจะบอกได้ว่ายากส์ เพราะพอเอามาจอดเทียบกันแล้ว ทุกอย่างมันแตกต่างกันไปหมด

        อย่างที่บอกไปแล้วว่า BMW เอาจริงเอาจริงกับการออกแบบและผลิต MINI ตัวใหม่นี้มาก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากประสบการณ์ที่ได้เก็บสะสมข้อมูลมาตลอดช่วงเวลาของการผลิต (R53) ออกสู่ตลาด รวมไปถึง Feedback ที่ได้จากลูกค้าในแง่มุมต่าง ๆ จึงได้นำมาปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนต่าง ๆ ที่เป็นรายละเอียดต่าง ๆ รอบคันรถได้อย่างครบถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังเป็นจังหวะอันเหมาะเจาะที่ BMW จะได้ "อัด" ของเล่นประเภทไฮเทคทั้งหลายเข้าไปในรถรุ่นใหม่กันอย่างครบถ้วน ไม่แพ้รถในสายการผลิตของ BMW เอง

        ความพยายามของ BMW มองคอนเซ็ปต์ในการสร้าง MINI (R56) ให้เป็นรถชนิดที่เรียกว่า ผู้ขับขี่สามารถจะสัมผัสและรับความรู้สึกจากประสาทสัมผัสแทบจะทุกส่วนก็ว่าได้ เพื่อที่จะย้อนความรู้สึกเหล่านั้นกลับไปสู่ MINI Classic แบบดั้งเดิมนั้นให้ได้มากที่สุด ด้วยรูปทรงภายนอกและภายใน การจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์ และการดีไซน์รูปแบบของปุ่ม และสวิตช์ควบคุม แม้แต่ตำแหน่งท่านั่งของเบาะนั่งก็ยังบอกความรู้สึกแบบนี้ได้

        และเช่นเดียวกัน สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตัวถัง และวัสดุตกแต่งในรถที่ดูไม่หรูหราจนเวอร์ บวกกับการเก็บรายละเอียดในการออกแบบที่ต้องยกนิ้วให้ นั่นก็คือ "ฟีลลิ่งในการขับขี่" ที่จะบ่งบอกได้ว่า MINI (R56) คันนี้ ราคาเหมาะสมกับค่าตัวรถสามล้านบาท หรือคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไปหรือไม่เพียงใด